ข้อห้ามสำหรับผู้สักยันต์เล่นของ

 ข้อห้ามสำหรับผู้สักยันต์เล่นของ ....เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ (ไม่เชื่ออย่าลบหลู่)


จากข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นสื่อต่าง ๆ หรือจากคำบอกเล่าที่เคยได้ฟังมาคร่าวๆ 

ข้อห้ามสำหรับผู้สักยันต์เล่นของ ดังต่อไปนี้


ห้ามลอดราวผ้า เนื่องจากราวผ้านั้นเป็นที่รวมเสื้อผ้าของหญิงชายที่นำไปซักแล้วเอามาตากจึงมีทั้งผ้าซิ่น หรือกางเกง ถือว่าเป็นของต่ำ หากผู้ที่ถือคาถาไปลอดจะทำให้ของที่ถืออยู่เสื่อม


ห้ามกินของเหลือ เช่น อาหารที่เหลือทิ้งไว้ หรือกินทีหลังเขา คนถือวิชามักจะต้องทานก่อนเสมอ


ห้ามกินผักปลั๋ง เพราะผักชนิดนี้มีผิวมันลื่น เชื่อว่าคาถาที่ถือจะลื่นไหล ไม่มั่นคง ไม่แข็งแรง


ห้ามกินฟักเขียว เพราะมีลักษณะคล้ายนมผู้หญิง แม้แต่ลอดร้านไม้ที่ปลูกก็ไม่ได้


ห้ามกินมะเฟือง หรือแม้แต่ลอดใต้ต้นมะเฟือง เพราะลูกมะเฟืองมีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศหญิง


ห้ามลอดต้นกล้วย ที่ใบกล้วยปกเคลือกล้วยหรือปลีกล้วย ก็เชื่อว่าคาถาจะเสื่อมเช่นกัน


ห้ามกินข้าว กินน้ำงานศพ หรือแม้แต่ดมไอกับข้าวงานศพก็ไม่ได้


ห้ามลอดเงา ปราสาทศพ


ห้ามลอดสายผ้าเต้นท์คลุมปราสาทศพ


ห้ามลอดใต้ถุนบ้าน อันนี้แล้วแต่บางคนถือหรือไม่ถือ บางคนถือจริงจังถึงกับต้องยอมเสียเวลาเดินอ้อมบ้านเลยก็มี เกี่ยวกับเรื่องการลอดใต้ถุนบ้าน


คนโบราณมักจะทำบ้านใต้ถุนสูงเพราะกันน้ำท่วม และเพื่อความเย็นสบายในเวลากลางวันและกลางคืน บนบ้านจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยหลับนอนเท่านั้น แต่ใต้ถุนจะเป็นที่เก็บข้าวของทางการเกษตร หรือเลี้ยงสัตว์


แต่ถ้าในปัจจุบันสภาพบ้านเมืองมันเปลี่ยนแปลงไป บ้านใต้ถุนสูงไม่นิยมสร้างกันนิยมหันไปสร้างบ้านตามแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกไปเสียหมด มีตึก มีอาคารที่มีการสร้างสองสามชั้นขึ้นไป ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นสถานที่ราชการหรือที่ ๆ จะต้องติดต่อธุระเป็นส่วนใหญ่


แล้วคนที่ถือคาถาจะทำอย่างไรในเมื่อลอดไม่ได้ ขอขยายประเด็นตรงนี้นะครับ บ้านไม้ยกใต้ถุนสูงในสมัยก่อน ระหว่างใต้ถุนกับชั้นบนจะต้องคั่นกลางด้วยแป้นไม้เป็นแผ่น ๆ ยาว ๆ เป็นตัวกั้นเพื่อเป็นที่รองรับอาศัยน้ำหนักของคนบนบ้าน


แต่! การปูแป้นไม้สมัยก่อนจะไม่ปูชิดสนิทกันดี เหมือนการปูพื้นปาเก้ จะปูห่างกันไห้ว่างเป็นช่องแคบ ๆ สลับกันไปท่านที่เคยเห็นบ้านไม้สมัยก่อนคงนึกออก เพื่อกวาดเอาเศษฝุ่นบนบ้านให้ตกลงไปตามช่องแคบ ๆ นี้


และเพื่อเป็นที่ระบายอากาศจากข้างล่างด้วย ถือเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านเพราะสภาพอากาศเมืองไทยเป็นเมืองร้อนชื้น เศษฝุ่นบนบ้านนั้นแน่นอนต้องมาจากเท้าของเราอยู่แล้ว ดังนั้นที่ท่านไม่ให้ลอดใต้ถุนบ้านก็เพราะกลัวว่าเศษฝุ่นจากเท้าของคนบนบ้านจะปลิวตกลงมาใส่หัวเรา


นี่เป็นสาเหตุของข้อห้ามนี้และถ้าถามว่าปัจจุบันเราต้องลอดอาคาร หลาย ๆ ชั้นจะเป็นยังไง เรียนเหมือนข้างต้น ว่าอาคารปัจจุบันไม่ได้ไช้แป้นไม้ทำแล้ว


แต่ใช้ซีเมนต์เทหนาหลายคืบหลายศอกนัก จึงเป็นไปไม่ได้ที่เศษฝุ่นจากเท้าคนที่อยู่ข้างบนมันจะตกทะลุมาลงบนหัวเราได้ จึงไม่ต้องไปกังวลในเรื่องการลอดใต้ถุนอาคารและใต้ถุนบ้านในปัจจุบันเลย


ห้ามให้ใครมาจับหัว ลูบหัว


ห้ามเคี้ยวใบพลู โดยไม่เด็ดปลายออก


ห้ามถ่มน้ำลายลงชักโครก หรือ คอห่าน เพราะจะทำให้อำนาจคาถาที่เราท่องบ่นหายไปไม่วาจาสิทธิ์

-----------------------------------------------


ข้อห้ามสำหรับคนเล่นสาริกาลิ้นทอง

สาริกาลิ้นทอง อีกหนึ่งศาสตร์ความเชื่อที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ เชื่อกันว่าเป็นเทพผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ ทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยม โชคลาภ เจรจามีแต่คนเชื่อถือ หากผู้ใดมีไว้สักการะบูชา ก็จะเป็นสิริมงคลแก่ผู้นั้น 

ด้วยเหตุนี้ สาริกาลิ้นทอง จึงเป็นที่นิยมในหมู่นักเจรจาธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้า และประชาชนทั่วไปแต่ทั้งนี้ก็ยังมีข้อห้าม รวมไปถึงข้อถือปฏิบัติสำรับผู้ที่เล่นสาริกาลิ้นทอง มากมาย ดังนี้ ห้ามกล่าวว่าบุพการี, ครูบาอาจารย์, ผู้มีพระคุณ , ห้ามคนเล่นศรีษะ , ห้ามลอดใต้ราวผ้า , ห้ามทานอาหารเหลือจากผู้อื่น แต่ทานร่วมกับผู้อื่นได้ , ห้ามดื่มร่วมแก้ว หรือ ขวดร่วมกับผู้อื่น , ห้ามทานเครื่องเซ่นไหว้, ของแจกทาน, ของงานศพ , ห้ามแช่งด่า, ใส่ร้าย, ใส่ความผู้อื่น และสุดท้าย ห้ามบ้วนน้ำลายลงในโถส้วมเด็ดขาด

------------------------------------------------


คำว่า ไสย หมายถึง ลัทธิอันเนื่องด้วยเวทย์มนต์ คาถา และวิทยาคม ไสยนั้นแบ่งออกเป็นไสยขาว อันหมายถึงวิชชาอันลึกลับใช้เวทย์มนต์ไปในทางที่ดี เช่นการทำเครื่องราง ของขลังและวัตถุมงคลต่างๆ เพื่อป้องกันภัยอันตราย หรือเพื่อเป็นเมตตามหานิยม เมตตามหาเสน่ห์และอิทธิวิธี ส่วนไสยดำหมายถึงวิชชาที่กระทำคนให้เป็นไปต่างๆนาๆเช่น ปล่อยคุณไสย ปล่อยตะปูเข้าท้องคนอื่น ปล่อยหนังควายเข้าท้อง บิดลำใส้ ปล่อยผีไปทำร้ายผู้อื่นให้มีอันเป็นไปต่างๆนาๆ นำบาตรวัดร้างไปฝังเพื่อทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด เป็นต้น


คำว่า ไสย นี้แปลความหมายอีกอย่างก็หมายถึงสิ่งที่ลึกลับที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อได้นอกจากเมื่อมันได้ออกมาเป็นผลลับแล้วเท่านั้น ส่วนคำว่า ศาสตร์ หมายถึง ตำรา วิชา วิทยา คำสั่ง ข้อบังคับบัญชา ศาสนา รวมเข้ากับไสย เป็นไสยศาสตร์ อันหมายถึง ตำราทางไสยยาศาสตร์ลึกลับเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาร เวทย์มนต์ คาถา อำนาจจิต เป็น ต้น ไสยเวทย์ ไสยศาสตร์ หมายถึงตำราทางไสย วิชาทางไสย ไสยศาสตร์ เป็นวิชาว่าด้วยลัทธิเวทย์มนต์คาถาและวิยาคมเป็นศาสตร์ๆหนึ่งที่แยกย่อยมาจากศาสตร์ 18 ประการของอินเดียโบราณไสยศาสตร์แทรกอยู่ในความเชื่อของคนไทยมาตราบนานเท่านานกว่า7,000ปีและแทรกอยู่กับความเป็นอยู่ของคนไทยตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เช่นการเสกทำน้ำมนต์ให้คลอดง่าย โกนผมไฟ ทำขวัญ สร้างบ้านใหม่ ขึ้นบ้านใหม่ ทำขวัญ สวดบ้าน ตราสังข์ ทำโลงศพ เอาศพลงจากเรือน ทำประตูป่า ทำบันไดผี นำศพขึ้น เผา การเสกน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ และประเพณีไทยหลายๆอย่างล้วนแต่แทรกด้วยไสยศาสตร์ทั้งสิ้น ไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะเจริญไปถึงไหนเพียงใดวิทยาการอินฟอเมชั่นเท คโนโลยี่จะก้าวหน้าไปเพียงใดขนาดไหน แต่ความเชื่อทางไสยศาสตร์ไม่มีวันที่จะหมดไปจากมนุษย์ชาติได้เหตุผลเพราะว่าเป็นศาสตร์ๆหนึ่งที่ดำรงอยู่ในโลกมนุษย์มานาน มากแล้วและมิใช่เพียงแต่เมืองไทยเท่านั้นที่มีความเชื่อในด้านไสยศาสตร์หลายๆประเทศที่เจริญและพัฒนาแล้วก็ยังมีความเชื่อในด้านไสยศาสตร์ของประเทศนั้นนั้นอยู่


ส่วน พิธีกรรม ไสยกรรมนั้นอาจไม่เหมือนกัน ในเมืองไทยในแต่ละภาคนั้นการประกอบพิธีกรรมต่างๆในแต่ละภาคนั้นก็ไม่เหมือนกัน สรุปแล้วไสยศาสตร์และไสยเวทย์มิใช่สิ่งที่ เลวร้ายขึ้นอยู่กับผู้ที่นำไปใช้เช่นการสกยันต์หากสักแล้วไม่ไปเป็นโจรผู้ร้ายไม่ไปปลิ้นชิงรบราฆ่าฟันเบียดเบียนเขาและตั้งตนอยู่ในศีลธรรมของนั้นก็จะคงทนถาวรไม่เสื่อม และยิ่งเข้มขลังยิ่งนัก และเป็นไสยศาสตร์ที่ประดับบารมีชายชาตรีมาแต่โบราณกาล ดังหลักฐานบันทึก .ความทรงจำ.พระนิพนธ์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า....? ส่วนตัวฉันเองจะเป็นใครแนะนำจำไม่ได้เสียแล้ว เกิดอยากเรียนวิชาอาคม คือวิชาที่ทำให้อยู่ยงคงกระพันชาตรีด้วยเวทย์มนต์และเครื่องรางต่างๆ มีผู้พาอาจารย์มาให้รู้จัก หลายคน ที่เป็นตัวสำคัญนั้นคือนักองค์วัตถา น้องสมเด็จพระนโรดมเจ้ากรุงกัมพูชา...การศึกษาวิทยาคมในสมัยนั้น โดยเฉพาะเด็กกำลังรุ่นหนุ่มเช่นตัวฉัน ด้วยได้ฟังเขาเล่า เรื่องและบางทีทดลองให้เห็นอิทธิฤทธ์ กับทั้งได้สะสมมีเครื่องรางแปลกๆประหลาดที่ไม่เคยเห็น....?


ไสยศาสตร์เป็นลัทธิความเชื่อ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ที่เกิดขึ้น และดำรงอยู่จริง คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ในโลกใบนี้ไร้มนุษย์ที่เชื่อไสยศาสตร์ บุคคลที่มีญาณทัศนะลึกล้ำ เข้า ใจเหตุปัจจัยแห่งการก่อเกิดสรรพสิ่ง ทั้งชีวิต สังคม และจิตวิญญาณ จะไม่มองเหตุที่เกิดขึ้นเพียงด้านใดด้านหนึ่งแล้วปฏิเสธโดยสิ้นเชิง หากไสยศาสตร์แล้วที่ทำให้ผู้เชื่อมั่น นั้นสามารถคลายทุกข์ไปได้ มีความสุข ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เวทย์มนต์ไสยศาสตร์ก็มิใช่สิ่งที่เลวร้าย ความงมงายในสิ่งที่ดีงามทำแล้วให้ตนเองสมหวังมีความสุขย่อมไม่ใช่สิ่งที่ ไม่มีเหตุผล


ข้อห้ามทางกาละ


1.ห้ามผิวปากเวลากลางคืนเชื่อว่าจะโดนคุณไสยที่ล่องลอยอยู่


2.ห้ามโพกหัวหรือสวมหมวกในวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าหัวจะล้าน


3.ห้ามบ้วนน้ำลายลงโถส้วมเชื่อว่าวาจาจะเสื่อม


4.ห้ามนั่งบนขั้นบันไดเพราะผีบ้านผีเรือนไม่ชอบ


5.ห้ามนั่งบนหมอนเชื่อว่าคาถาจะเสื่อม


6.ห้ามเล่าความฝันในขณะทานข้าวเชื่อว่าแม่โพสพท่านไม่ชอบ


7.ห้ามเดินข้ามหนังสือเพราะเชื่อว่าจะเรียนไม่จำ


8.ห้ามนุ่งผ้าเปียกเข้าบ้านเพราะเชื่อว่าผีไม่กลัวและจะทำให้ปวดท้อง


9.ห้ามหญิงมีครรภ์ทำหน้าบึ้งเวลาจะหลับเชื่อกันว่าลูกออกมาจะไม่สวยไม่หล่อ


10.ห้ามดมดอกไม้ที่จะนำไปถวายพระเชื่อกันว่าจมูกจะเป็นไซนัสหรือริดสีดวงจมูก


11.ห้ามหลับเวลาฟังพระเทศเชื่อว่าชาติหน้าจะเกิดเป็นงู


12.ห้ามเอาของคืนเมื่อให้ผู้ใดไปแล้วเชื่อว่าจะเป็นเปรต(นอกจากให้ยืม)


13.ห้ามกวาดขยะกลางคืนเชื่อว่าผีไม่คุ้มและกวาดทรัพย์ออกหมด


14.ห้ามตัดเล็บกลางคืนเชื่อว่าอายุจะสั้น


15.ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วยและไม้ค้ำบ้านและห้ามลอดราวผ้าและห้ามลอดใต้แขนคนอื่นเพราะจะทำให้ของเสื่อม


16.อย่าให้ใครข้ามหัวเพราะจะทำให้อาคมเสื่อมและของทุกอย่างเสื่อม


17.ห้ามด่าแม่ผู้อื่นเพราะสาริกาลิ้นทองจะเสื่อม


18.คนสักยันต์ห้ามกินฟักแฟงบวบน้ำเต้าและปลาไม่มีเกล็ดเพราะเชื่อว่าหนังจะไม่เหนียว


19.หากไปในที่สถานที่แปลกๆห้ามทักเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆเพราะเชื่อกันว่านั่นคือคุณไสย หรือของไม่ดีหากใครทักจะเข้าตัวทันที


20. ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกเพราะเชื่อว่าวิญญาณจะออกจากร่าง(อีกอย่างหนึ่งเป็นทิศที่หันหัวคนที่ตายไปแล้ว)


21.ห้ามขึ้นบ้านวันเสาร์ เผาศพวันศุกร์ โกนจุกวันอังคาร แต่งงานวันพุธ เพราะเป็นอัปมงคล 

--------------------------------------------------------------------


คาถา นะจังงัง


ตั้งนะโม3จบแล้วบริกรัมคาถา " พะ นะ ทะ มะ "


เป็นเวทย์มนต์ที่สะกด ให้อีกผู้หนึ่ง หยุดการเคลื่อนไหว ชั่วขณะ จะช้า เร็ว ขึ้นอยู่กับ สมาธิที่แข็งกล้าของผู้ร่ายมนต์ 

มีประโยชน์มาก เหมาะสำหรับใช้ในสถานการณ์คับขัน ศัตรู ผู้คนทที่จะมาเข้าทำร้าย พอถูกคาถานี้เมื่อไหร่ จะต้องหยุด แข็งตัวทื่อๆ ไม่ไหวติง ยกเว้นซะแต่ ผู้อื่นผู้ใดมาคลายมนต์ที่สะกดไว้ หรือ หายเอง เมื่อมนต์เสื่อม คนที่โดนคาถานี้ จะรู้สึกชาทั่วตัว และแข็งเกร็งทั่วร่างกาย


คาถากำบังตัว


นะปิดตา โมมิเห็น พุทธซ่อนไว้ ธาหลับอยู่ ยะหายตัวไป ได้ด้วย


นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ


คาถากำบังตัว หากมีภัยมา เห็นว่าจวนตัวจะหนีไม่พ้น คาถากำบังตัว ตั้งใจให้มั่น กลั้นใจขมวดกอหญ้า จะหายตัวได้ชั่วระยะอึดใจหนึ่ง ศัตรูก็จะผ่านเลยไป จะมองไม่เห็นตัวเรา แต่ต้องใช้ในทางที่ถูก จึงจะใช้ได้ หากเป็นผู้ร้ายผู้ผิดจะไม่ได้ผลเลย


นพดล อุ่นตา


https://m.facebook.com/100004794466976/posts/pcb.469614669875011/?photo_id=469614513208360&mds=%2Fphotos%2Fviewer%2F%3Fphotoset_token%3Dpcb.469614669875011%26photo%3D469614513208360%26profileid%3D100002676916910%26source%3D49%26refid%3D17%26_ft_%3Dtop_level_post_id.962999493756274%26cached_data%3Dfalse%26ftid%3Du_m_t&mdf=1



แบบที่ 3

ปู่มถูกใจ

26 กุมภาพันธ์ 2565

บทอุทิศผลบุญ


บทความน่าสนใจ



อีกช่องในการติดตาม Facebook Page